“Comfort Food” การกินอาหารเยียวยาจิตใจ ปลุกความสบายใจ เปิดประตูห้วงคำนึงแห่งความคิดถึง

 “Comfort Food” การกินอาหารเยียวยาจิตใจ ปลุกความสบายใจ
เปิดประตูห้วงคำนึงแห่งความคิดถึง

หลายคนคงเคยได้ยินคนบ่น เวลาเครียดว่า “ไปหาอะไรกินแก้เครียดดีกว่า” ทุกคนคิดว่าการกินเยียวยาจิตใจเราได้จริงไหมคะ? การที่เราได้กินของอร่อยหรือสิ่งที่เราชอบ ทำให้เรามีความสุขได้ แล้วการกินถือว่าเป็นการเยียวยาจิตใจได้อีกทางหนึ่ง โดยหลายคนเรียกกันว่า “Comfort Food” อาหารที่กินแล้วไม่ได้แค่ช่วยให้เราอิ่มท้อง แต่ยังช่วยให้เราเกิดความสบายใจและสามารถเติมเต็มความรู้สึกในหัวใจ สามารถเปิดประตูห้วงคำนึงแห่งความคิดถึง ความทรงจำที่งดงามในอดีต ที่ไม่ว่าเราจะรู้สึกเศร้า รู้สึกเหงาหรือรู้สึกเครียด การได้กินอาหาร Comfort Food จะทำให้เราอารมณ์ดีขึ้น รู้สึกอบอุ่นหัวใจและรู้สึกคลายเหงาได้ค่ะ 

โดยจากการสำรวจของ Mintel พบว่าในปี ค.ศ. 2023 ผู้บริโภคในประเทศไทยกว่า 51% พยายามหาวิธีลดความเครียด ด้วยการกินอาหารเพื่อเยียวยาจิตใจ และยังพบอีกว่า ผู้บริโภคในประเทศไทยกว่า 46% ใช้การกินอาหารเพื่อคลายเครียดด้วยค่ะ (ข้อมูลล่าสุด)

 Comfort Food  คือ การกินอาหารที่ทำให้เรารู้สึกพิเศษ เชื่อมโยงกับความรู้สึก สามารถปลอบประโลมหัวใจ ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นใจ ซึ่งส่งผลทำให้คนที่กินอารมณ์ดีขึ้นได้จริง ในช่วงเวลาที่เราอารมณ์ไม่ดี จิตใจอ่อนล้าการได้กินของที่ทำให้เรารู้สึกพิเศษช่วยปลอบประโลมจิตใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ และโอบกอดหัวใจของเราได้อย่างอบอุ่นและอ่อนโยน 

และยิ่งไปกว่านั้น Comfort Food ยังทำให้เราหัวใจอิ่มเอม ย้อนนึกถึงช่วงเวลาแห่งความทรงจำและความผูกพันที่เคยมีมาในวัยเยาว์ หรือในอดีต ไม่ว่าจะเป็นอาหารจานโปรดที่แม่ทำ กับข้าวฝีมือคุณยาย หรือแม้กระทั่งมาม่าถ้วยโปรดในยามดึกเวลาที่อ่านหนังสือจนหิว ฯลฯ อาหารง่ายๆ ที่อาจจะมีคุณค่าทางสารอาหารหรือไม่มีคุณค่าทางสารอาหาร แต่มีคุณค่าทางใจที่ทำให้เราจดจำไม่รู้ลืม อาหารจึงไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำให้อิ่มและร่างกายแข็งแรงแต่ยังสามารถเยียวยาจิตใจของเราได้ด้วยค่ะ 

วันนี้ Mental Life by Chanisara จะชวนทุกคนไปหาคำตอบว่าทำไมอาหารถึงเยียวยาจิตใจของเราได้กันค่ะ 

Comfort Food

ทำไมอาหารปลอบประโลมหัวใจเราทุกคนได้

อาหารไม่ได้ทำให้เราอิ่มท้องและร่างกายแข็งแรงเท่านั้น แต่ในทางจิตวิทยา อาหารยังมีผลกับสมองในส่วนที่ช่วยควบคุมอารมณ์ของคนเรา และยังส่งผลต่อความทรงจำของเราอีกด้วยค่ะ 

เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินคนพูดว่า เครียดไปหาอะไรกินแก้เครียดดีกว่า ซึ่งทำให้เห็นว่าคนคนนั้นไปกินเพื่อระบายอารมณ์ เผื่อตัวเองจะรู้สึกดีขึ้น ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องเครียด วิตกกังวล รู้สึกไม่สบายใจหรือเศร้าใจแค่ไหน การได้รับประทานของที่อร่อยและมีความหลังผูกพันทางจิตใจ แม้จะไม่มีประโยชน์หรือมีคุณค่าทางอาหารที่ส่งผลดีต่อร่างกายนัก แต่ส่งผลดีต่อจิตใจ ก็ถือว่าเป็นอาหารพิเศษ ที่สามารถเยียวยาจิตใจได้

 การได้กินอาหารที่ชอบและรู้สึกมีคุณค่าทางจิตใจ จะทำให้คิดถึงอาหารที่พ่อแม่ทำ อาหารที่คุณยายทำให้ หรือแม้แต่มาม่าถ้วยโปรดที่เราทำกินเอง ไอติมรสหวานแสนอร่อยที่เรากินกับพ่อ หรืออาหารใดก็ตามที่เรามีความหลังหรือได้กินอาหารร่วมกับคนที่เรารัก ซึ่งช่วยให้เราไม่ไปโฟกัสกับความเครียด ความเศร้า ความกังวลชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งทำให้คนที่ได้กินอาหารที่ตัวเองถูกใจหรือมีความผูกพันกับอาหารนั้น รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นและเครียดน้อยลงนั่นเองค่ะ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมอาหารถึงเยียวยาจิตใจเราได้ค่ะ

ทำไมเวลาเราเครียด เราอยากกินของหวาน หรือของที่มีไขมันสูง

ทุกคนเคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไมเวลาเราเครียด เราถึงอยากกินของหวานหรือของทอดๆ มัน ๆ 

นั่นเพราะว่า เมื่อเราเครียดสมองจะหลั่งฮอร์โมนที่มีชื่อว่า คอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เวลาเราเครียด สมองจะหลั่งออกมาอยู่แล้ว เมื่อสมองหลั่งออกมาจะทำให้เราอยากกินอาหารที่มีของหวานหรือไขมันสูง อาหารดังกล่าวถึงไม่มีประโยชน์เท่าที่ควรนัก แต่ทำให้คนที่กินสามารถรู้สึกเครียดน้อยลงได้ เพราะเมื่อเราเครียดร่างกายจะอยากกินของหวานหรือของทอด เพื่อเก็บสะสมไว้เพราะสมองจะสั่งว่า ความเครียดเป็นอันตรายต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายต้องเก็บสะสมพลังงานหรือไขมันไว้ และเมื่อเรากินของอะไรก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกเครียดน้อยลง สมองจะจำ และครั้งต่อไป หากเราเครียด ถ้าเรากินของชนิดเดิม ความเครียดจะลดลงนั่นเองค่ะ แต่ทุกคนอย่ากินมากเกินไปนะคะ เพราะอาจจะทำให้เกิดโรคอ้วนได้ค่ะ ดังนั้นกินแต่พอดีนะคะ

“Comfort Food” เปิดประตูห้วงคำนึง แห่งความคิดถึง

“Comfort Food” เป็นมากกว่าอาหารที่เยียวยาจิตใจ เพราะเป็นอาหารที่ทำให้เราหวนคิดถึงบ้าน ทำให้เกิดความผูกพันทางใจ เชื่อมโยงกับอารมณ์และความทรงจำของเรา เช่น คิดถึงอาหารที่แม่ทำ อาหารสามารถทดแทนความรู้สึกของคนเราได้ เหมือนกับ ตอนเด็ก เวลาเรากอดตุ๊กตาหมีเราจะรู้สึกอบอุ่น การกินอาหารก็เช่นกัน ทฤษฎีนี้เรียกว่า Social Surrogacy (การแทนที่ทางสังคม) 

อีกทฤษฎีหนึ่ง Embodied Cognition คือการที่ความคิดของเราเชื่อมโยงกับอารมณ์และประสบการณ์ การกินอาหาร Comfort Food ที่ทำให้เรารู้สึกคิดถึงอดีตหรือมีความผูกพันในอดีตจึงทำให้เรารู้สึกอบอุ่นปลอดภัยและไม่โดดเดี่ยวนั่นเองค่ะ

Comfort Food เหล่านี้ทำให้เราหวนคิดถึงช่วงเวลาอันแสนอบอุ่นกับคนที่เรารัก ทำให้สามารถลดความเหงาหรือความรู้สึกทุกข์ใจได้จริง มีงานวิจัยที่มีชื่อว่า “Chicken soup really is good for the soul: Comfort food fulfills the need to belong” ของคุณ Troisi & Gabriel  พบว่า การได้นึกถึงหรือกินอาหารที่อยู่ในความทรงจำของเรา จะทำให้กระตุ้นความทรงจำที่ดีเก่าๆ ของเราขึ้นมา และทำให้เรารู้สึกดีขึ้นจริง และเมื่อศึกษาลึกลงไปยังพบอีกว่า การกินอาหาร ช่วยลดความเหงาได้จริง แต่จะเห็นผลชัดเจนกับคนที่มีความผูกพันใกล้ชิดกับครอบครัวหรือคนที่มีความผูกพันกับใครสักคนในแง่ที่ดี จะเห็นผลได้ชัดกับคนที่มีต้นทุนความสัมพันธ์ที่ดีอยู่แล้ว พอได้กินอาหารที่ชอบ และมีความผูกพัน ทำให้เราคิดถึงความทรงจำเก่าๆ ที่แสนอบอุ่น ทำให้เรารู้สึกคลายเหงา รู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลงนั่นเองค่ะ 

เพราะฉะนั้นสะท้อนให้เห็นว่า อาหารที่เรากินแล้วรู้สึกดีขึ้นมีความเชื่อมโยงกับอารมณ์และความรู้สึกของเรา อาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับรสชาติเพียงอย่างเดียวแต่ขึ้นอยู่กับความผูกพันทางใจกับอาหารที่เรากินเข้าไปค่ะ

นอกจากนี้ Comfort Food สามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์ชีวิต อารมณ์ ความทรงจำและวัฒนธรรมอีกด้วย เช่น เวลาเราไปต่างประเทศ เราไปเห็นข้าวผัดกะเพรา ส้มตำ ต้มยำ เราก็อาจจะนึกถึงอาหารที่บ้านหรือคิดถึงอาหารที่แม่ทำ ซึ่ง Comfort Food ของแต่ละคนหรือคนแต่ละชาติก็จะแตกต่างออกไปตามความผูกพัน หรือ อาหารของบ้านเกิดของคนคนนั้น นั่นจึงสะท้อนให้เห็นว่า Comfort Food จึงเป็นมากกว่าอาหารที่ทำให้เราอิ่มเพราะสามารถช่วยเยียวยาจิตใจ ปลอบประโลมหัวใจทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้นั่นเองค่ะ 

5 วิธีกินอาหารเยียวยาจิตใจอย่างมีสุขภาพดี

1.กินอาหารที่เราชอบ แต่เติมส่วนผสมที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเข้าไปด้วย เช่น ใส่ผักผลไม้ที่ชอบเพิ่มลงไป

2.กินอย่างมีสติ ไม่กินเยอะเกินไป จนเราน้ำหนักเกิน และเมื่อเรารู้สึกอิ่มเราก็หยุดกิน

3.กินอาหารที่เราชอบ เยียวยาจิตใจ แต่อาจจะหาเมนูที่เรารู้สึกอร่อยและมีประโยชน์เพิ่มเข้าไปด้วย 

4.หาสาเหตุที่ทำให้รู้สึกเหนื่อย รู้สึกเครียด อ่อนล้าหรือกังวล เพื่อจะได้แก้ที่ต้นเหตุ 

5.กินสลับกับอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อที่ร่างกายจะได้แข็งแรง 

Comfort Food จึงไม่ใช่แค่อาหารที่เราชอบหรือทำให้เราอิ่มท้อง แต่เป็นอาหารที่ทำให้เรากินแล้วรู้สึกดีขึ้น เยียวยาหัวใจจากความเครียด ความเศร้า ความรู้สึกโดดเดี่ยว ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นหัวใจมากขึ้นนั่นเองค่ะ


Source

https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1070529 

https://www.theatlantic.com/health/archive/2015/04/why-comfort-food-comforts/389613/ 

https://www.healthline.com/health-news/being-stressed-leads-your-brain-to-crave-more-comfort-foods-study-finds#The-connection-between-stress-and-craving-comfort-food 

https://www.goodrx.com/well-being/diet-nutrition/comfort-food-health-benefits?srsltid=AfmBOortYi8Hkc-TBGDHMcD5Rs3mPHmfKIiVLyZXJTl6RxZneduZbIO0 

https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/21537054/ 

https://sites.uab.edu/humanrights/2019/02/25/the-importance-of-comfort-food/#:~:text=Thus%2C%20the%20importance%20is%20based,overall%20especially%20when%20feeling%20lonely 

Related Articles

hug

“การกอด” การแสดงความรักที่เรียบง่าย ยาวิเศษที่ช่วยเยียวยาร่างกาย

“การกอด” เป็นการแสดงความรักที่เรียบง่ายและแสนพิเศษ และยังเป็นยาวิเศษที่ช่วยเยียวยาร่างกาย และฟื้นฟูจิตใจได้ ทุกคนคิดว่าการกอดสำคัญไหมคะ? การกอดเป็นการแสดงความรัก ให้ความอบอุ่นซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้กอดและผู้ถูกโอบกอดรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นใจ เหมือนมีแสงอุ่นๆออกจากตัวของคนคนหนึ่งส่งต่อไปเพื่อโอบกอดหัวใจของใครอีกคน  ทุกคนรู้ไหมว่าการกอด นอกจากจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตสุขภาพใจแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพกายของเราด้วย การกอดจึงเปรียบเสมือนยาวิเศษ เป็นภาษากายที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังที่ทำให้ทุกคนที่ได้รับการโอบกอดรู้สึกดีและยังบรรเทาอาการเกิดโรคต่างๆ ทางร่างกายได้อีกด้วย  ทุกคนคงจะแปลกใจกันใช่ไหมคะว่าแค่กอดจะเยียวยาร่างกายและจิตใจของเราได้จริงๆ หรอ ไม่ว่าจะเป็นความเครียดหรือความวิตกกังวล แต่ที่น่าแปลกใจ คือมีงานวิจัยหลายชิ้น

Inner Speech

เปลี่ยน “เสียงในหัว” เปิดประตูสู่การมีสุขภาพจิตที่ดี

เปลี่ยน “เสียงในหัว” ที่เราพูดกับตัวเองในใจ ให้เป็นเชิงบวก เพื่อสะท้อนความคิด เปิดประตูสู่การมีสุขภาพจิตที่ดี  ใครมีเสียงในหัวบ้างคะ หลายคนอาจจะสงสัยใช่ไหมละคะว่าเสียงในหัวคืออะไร?เสียงในหัว เสียงที่เราพูดกับตัวเองในใจ ซึ่งออกมาจากความคิดของเราเอง อาจจะเป็นความคิดที่เราพูดกับตัวเองทั้งในแง่บวกและในแง่ลบ ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและเป็นเรื่องปกติที่สามารถจะเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเสียงในหัวของตัวเองนะคะ บางคนมีเสียงในหัวตลอดเวลา บางคนมีเสียงในหัวเป็นครั้งเป็นคราว และบางคนไม่มีเสียงในหัวเลย แต่สามารถคิดเป็นภาพหรือความรู้สึกได้  หากเรามี “เสียงในหัว” เราสามารถฝึกเสียงในหัวตัวเอง

ChatGPT

ChatGPT AI ที่ไม่มีความรู้สึก แต่ปลอบโยนมนุษย์ให้สบายใจได้

ChatGPT พื้นที่ระบายความในใจโดยไม่ตัดสิน ถึงแม้ไม่มีความรู้สึก  แต่โอบกอดหัวใจทำให้มนุษย์รู้สึกดีขึ้นได้ ในปี 2025 ที่ AI เข้ามามีบทบาทในยุคปัจจุบัน AI ที่ทุกคนรู้จักอย่างแพร่หลายอย่าง ChatGPT ไม่ได้เป็นเพียงปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยผู้คนหาคำตอบ แต่หลายคนใช้ ChatGPT เพื่อพูดคุยเยียวยาจิตใจ เพราะคุยและตอบคำถามได้ดี เหมือนเวลาเราไปปรึกษาใครสักคนจริงๆ ChatGPT จึงเป็นเพื่อนคุยที่สามารถทำให้เราลดความเครียด